1.สตีเว่น เจอร์ราร์ด = มังกี้ ดี ลูฟี่ หากเปรียบเทียบกันก็คือ ความรักที่มีต่อพวกพ้อง บทบาทในความเป็นผู้นำ การต่อสู้อย่างไม่ย่อท้อ ต่อสู้จนร่างกายอ่อนล้าแต่ติดใจของเขายังคงแข็งแกร่ง และทั้งหมดนี้มันเป็นสิ่งที่กับตันเจอร์ราร์ด มีครบทุกข้อเพราะเขาคือคนที่เป็นทุกอย่างให้กับลิเวอร์พูล 2.ลิโอเนล เมสซี่ = นารูโตะ   การเล่นของเมสซี่ก็เปรียบได้อย่างนารุโตะที่มีความว่องไว ปั่นป่วนคู่ต่อสู้เพราะเขามีการฝึกฝนอย่างหนักและไม่ละทิ้งความพยายาม ซึ่งเขาต่อสู่มาตั้งแต่เด็กๆ จนในที่สุดพวกเขาก็สามารถทำตามความฝันได้สำเร็จ 3.คริสเตียนโน่ โรนัลโด้ = ซุนโงกุน   สิ่งที่เหมือนกันก็คือโรนัลโด้เป็นผู้เล่นที่เปรียบล้นไปด้วยพรแสวง เขาฝึกทักษะอย่างหนักมาตั้งแต่วัยเด็ก จนในปัจจุบันเขาได้กลายเป็นนักฟุตบอลระดับโลก หากว่าซุนโงกุนมีพลังที่สูงสุดของชาวไซย่า คริสเตียนโน่ โรนัลโด้เองก็มีพลังสูงสุดของมนุษย์เช่นกัน

เว็บไซต์ ทรานส์เฟอร์มาร์เก็ต ได้ประเมินข้อมูล แกเร็ธ เบล กองหน้าความเร็วสูงของสโมสร “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด มีค่าตัวตกลงมาเหลือเพียง 63 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 2,583 ล้านบาท จากตอนที่เขาย้ายออกจากท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ไปอยู่กับ เรอัล มาดริด เมื่อปี 2013 ตอนนั้นเขามีสถิติค่าตัวสูงที่สุดในโลกอยู่ที่ 90 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 3,690 ล้านบาท โดยช่วงแรกเขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แต่พอมาในฤดูกาลนี้ เบล กลับทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐานมาก อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องสุขภาพรวมถึงความฟิตอีกด้วย ทำให้ตอนนี้ทางบอร์ดบริหารของเรอัล มาดริด อาจพิจารณาปล่อยตัวเขาไป อย่างไรก็ตามสโมสรเรอัล มาดริด มีโอกาสจะขายเขาออกจากถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาเบว...

แอนดี้ โรเบิร์ตสัน แบ็กซ้ายจอมขยันของสโมสร “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ทีมยักษ์ใหญ่ของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ออกมาชี้ เฟอร์กิล ฟานไดค์ ที่ย้ายมาอยู่กับลิเวอร์พูลในช่วงปีที่แล้ว ด้วยค่าตัวสูง 75 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 3,075 ล้านบาท ว่าเป็นกองหลังเก่งที่สุดในโลกในขณะนี้ โดย โรเบิร์ตสัน กล่าวว่า “ฟานไดค์ เขาเป็นนักเตะที่ทำให้ผมเล่นบอลได้ง่ายขึ้น เมื่อมีเขายืนอยู่ข้างๆ เป็นแผงหลัง เมื่อใครก็ตามที่วิ่งเข้ามาหาผม ผมจะรู้ว่าต้องมี ฟานไดค์ รออยู่ในกรอบเขตโทษเรียบร้อยแล้ว เขามักไม่ค่อยหลุดออกจากตำแหน่งเลย สำหรับผมแล้วเขาคือกองหลังที่เก่งที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ ถ้าดูฟอร์มการเล่นของเขาตอนนี้คุณก็จะเอข้าใจเองว่าเขาเจ๋งแค่ไหน ถ้าจบซีซั่นนี้ลงผมอยากจะมอบรางวัลให้เขาเลยล่ะ” นอกจากนี้ เฟอร์กิล ฟานไดค์ ปัจจุบันยังเป็นกองหลังที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลกอีกด้วย

1.ป็อกบา เล่นได้ตามมาตรฐานในทุกเกม ปอล ป็อกบา เป็นกลองที่เล่นได้อย่างคงเส้นคงวาที่สุดหลังผ่านมาแล้ว 10 กว่านัด โดยเขาได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นนักเตะคนสำคัญของทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างแท้จริง ปัจจุบันก็มีกองกลางชัดยอดมากมายแต่ก็ยังเล่นได้ไม่คงเส้นคงวามากเท่าไหร่นัก 2.ป็อกบา มีส่วนร่วมในการทำประตูมากที่สุด ป็อกบา ควรได้รับเครดิตจากการเล่นที่ครบเครื่องของเขา เขาไม่ใช่แค่คนที่ครองเกมให้กับทีมเท่านั้น แต่เขายังเต็มไปด้วยความสามารถในการเล่น ซึ่งจากการลงสนามทั้งหมด 32 เกม ยิงไปแล้ว 14 ประตู 3.เป็นกองกลางดีที่สุดในขณะนี้ สำหรับวงการฟุตบอลที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงอยู่มากมาย โดยตำแหน่งที่นักเตะที่สามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งค่อนข้างจะหายากมากในปัจจุบัน แต่หนึ่งในนั้นคือ ป็อกบา เขาสามารถเล่นได้เกือบทุกตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นกองกลางตัวรับ กองกลางตัวรุก หรือกองหน้าบางครั้งเขาก็สามารถทำได้อย่างยอดเยี่ยม

1.เธียร์รี่ อองรี นักเตะในตำนานของอาร์เซน่อล หนึ่งในดาวรุ่งในปี 2002 ครั้งหนึ่งเขาเคยอยู่ในฟอร์มที่ย่ำแย่ จนกระทั่งแฟนบอลอาร์เซน่อลเกิดคำถาม แต่แล้วเขากลับกลายมาเป็นจอมถล่มประตูให้กับทีมชาติฝรั่งเศสและอาร์เซน่อล จนเป็นตำนานมาถึงทุกวันนี้ 2.ลูก้า โมดริช ผลงานในปีแรกที่เขาย้ายมาเล่นให้กับ เรอัล มาดริด ต้องบอกเลยว่า โมดริช เป็นนักเตะที่แย่มากในตอนนั้น ซึ่งหลังจากนั้นจนถึงปัจจุบันเขาได้กลายเป็นคนสำคัญที่สุดของทีมรวมถึงทีมชาติโครเอเชียอีกด้วย 3.ดาบิด เด เคอา ใครจะเชื่อว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะดึงผู้รักษาประตูที่ค่อยข้างไม่มีชื่อเสียงมาในสมัยนั้น และเมื่อตอนที่เขามาแรกๆ เขาทำผลงานได้ไม่น่าประทับใจนัก หลังจากนั้นเขาก็ฝึกซ้อมอย่างหนักตลอดเวลา 6 เดือน จนทำให้ เด เคอา เป็นผู้รักษาประตูระดับโลกไปแล้ว 4.เจมี่ วาร์ดี้ เขาทำประตูให้กับ เลสเตอร์ ซิตี้ ได้เพียง 4 ลูกเท่านั้นในฤดูกาลแรกและเกือบตัดสินใจจะออกจากเลสเตอร์ไปแล้ว แต่เมื่อเขาได้คุยกับพ่อก็ทำให้ วาดี้ อยู่กับทีมต่อ จนกระทั้ง เลสเตอร์ ได้เลื่อนขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ในปี...

1.ลูก้า โมดริช ว่ากันว่าเขาคือกองกลางของเรอัล มาดริด ที่ดีที่สุด ถึงแม้จะมีปัญหาการปรับตัวให้เข้ากับเกมของลีกลาลีก้าในช่วงแรก แต่หลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นมิดฟิลด์เบอร์หนึ่งของลาลีก้าอย่างแท้จริง โดยเขาส่วนสำคัญในการพาเรอัล มาดริด คว้าแชมป์ทุกรายการ 2.เมซุต โอซิล เพลเมกเกอร์ชาวเยอรมันคนนี้ลงเล่นให้กับเรอัล มาดริด ไป 119 เกม เขาคือหนึ่งในนักเตะระดับโลกที่ทำหน้าที่ในการสร้างโอกสให้กองหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ภายใต้การคุมทีมของมูรินโญ่ในยุคนั้น เขาคือศูนย์กลางของทีมและประสบความสำเร็จจนถึงจุดพีคที่สุดของอาชีพ 3.ฮาเมส โรดริเกซ ดาวเตะทีมชาติโคลัมเบียรายนี้ลงเล่นให้กับ เรอัล มาดริด ไป 110 เกม ละสามารถพาทีมคว้าแชม์มาแล้วหลายรายการ เขาเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาลแรก เขาเป็นนักเตะที่สามารถเติมเกมรุกให้กับทีมได้ทั้งทางริมเส้นและตรงกลางสนามได้อย่างดี หลังจากนั้น เรอัล มาดริด มีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมทำให้เขาตกเป็นตัวสำรองอยู่บ่อยครั้ง

ปัจจุบัน 5 ลีกใหญ่ในยุโรปมักจะใช้เงินจำนวนมหาศาลสร้างทีม โดยเฉพาพสโมสรชั้นนำต่างๆ ต่างแข่งขันกันโดยซื้อนักเตะที่มีชื่อเสียงเข้ามาร่วมทีมเพื่อหวังที่จะคว้าแชมป์ให้ได้ แต่ก็ยังมีทีมใหญ่บางทีมที่ยังเลือกให้โอกาสนักเตะดาวรุ่งขึ้นมาสร้างชื่อเสียง และปั้นให้เป็นนักเตะชั้นนำอย่าง คิลิยัน เอ็มบัปเป้ ดาวรุ่งวัย 20 ของสโมสร ปารีส แซงต์ แชร์ก แมง สามารถโชว์ฟอร์มการเล่นยอดเยี่ยมมาก อย่างไรก็ตามเรามาดู 20 สโมสรที่ให้โอกาสดาวรุ่งกัน 1.บาร์เซโลน่า 319,224 นาที 2.เรอัล มาดริด 304,052 นาที 3.โอลิมปิก ลียง 253,906 นาที 4.แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 253,677 นาที 5.แรนส์ 191,284 นาที 6.เรอัล โซเซียดาด 180,535 นาที 7.แอธเลติโก บิลเบล 179,321 นาที 8.โมนาโก...

1.คริสเตียน พูลิซิช คริสเตียน พูลิซิชจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุน ย้ายมาอยู่กับ เชลซี กับตันของดอร์ทมุนด์รายนี้ได้สร้างความฮือฮาในช่วงเปิดตลาดนักเตะทันที ด้วยค่าตัว 58 ล้านปอนด์ 2.แบ็งฌาแม็ง ปาวาร์ แบ็งฌาแม็ง ปาวาร์ จากสตุสการ์ดย้ายไปอยู่กับ บาเยิร์น มิวนิค แบ็กขวาชาวฝรั่งเศสดีกรีแชมป์โลกย้ายไปด้วยค่าตัว 35 ล้านยูโร ซึ่งเขาโด่ดเด่นมากในฟุตบอลโลก 2018 ที่ผ่านมา 3.มาริโอ บาโลเตลลี่ มาริโอ บาโลเตลลี่ จากนีส มาร์กเซย ไปร่วมทัพ โอลิมปิก มาร์กเซย แบบไม่มีค่าตัว ซึ่งพอเขามาก็ได้มีการเปิดตัวอย่างยอดเยี่ยม โดยการยิงประตูได้ทันที 4.มิเกล อัลมิรอน มิเกล อัลมิรอน จากเมเจอร์ลีก ไปสู่ นิวคาสเซิ่ล และเขาก็เป็นนักเตะที่ค่าตัวแพงที่สุดในประวัตศาสตร์ของนิวคาสเซิ่ล ด้วยราคา 21...

อันโตนิโอ วาเลนเซีย (Luis Antonio Valencia Mosquera) จาก สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด  ก่อนที่ชีวิตของเขาจะเดินทางมาถึงนี้ต้องบอกบาเลนเสียเดินทางมาด้วยลำแข้งของตัวเอง เมื่อสมัยที่เขายังเป็นเด็ก "วาเลนเซีย" มีหน้าที่เก็บขวดกับพี่ชายสองคนตามท้องถนนให้พ่อเอาไปขาย นอกเหนือจากการเก็บขวดให้พ่อหน้าที่อีกหอย่างของ "วาเลนเซีย" ก็คือการไปช่วยแม่ขายเครื่องดื่มตามสนามฟุตบอลท้องถิ่นเพื่อหาค่าใช้จ่ายเลี้ยงครอบครัว แต่ความยากจนนี้ก็ไม่ได้ทำให้เขาละทิ้งความฝัน ยามว่างเขามักจะเล่นฟุตบอลเท้าเปล่าเป็นประจำจนทำให้เขามีทักษะที่ดีขึ้น จนไปเข้าตาของสโมสรท้องถิ่นตอนที่อายุ 11 ปี นอกเหนือจากความสามารถในสนามนิสัยของเขาที่มีวินัยทำให้โค้ชคนแรกชมว่า "วาเลนเซีย" มีภาวะเป็นผู้นำสูงมาก จนกระทั้งมาถึงปัจจุบันบาเลนเซียได้มาเล่นกับสโมสรยักษ์ใหญ่ในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่าง “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และก็ได้ลงเป็นตัวจริงมาโดยตลอด นับได้ว่าเขาเป็นตัวอย่างที่ดีต่อเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ย้อท้อต่ออุปสรรค์และความฝันของตัวเอง